หน่วยที่ 3
: พัฒนากลวิธีใช้ยา ถูกวิธี ชีวีปลอดภัย
พัฒนากลวิธีใช้ยา ถูกวิธี ชีวีปลอดภัย
ยา หมายถึง สารหรือวัตถุปรุงแต่งที่นำมาใช้โดยมีจุดมุ่งหมาย ๖ ประการ คือ บำบัดโรครักษาโรคทั้งระยะสั้นและระยะยาวบรรเทาอาการเจ็บไข้ได้ป่วยป้องกันโรค วินิจฉัยโรค และเสริมสร้างสุขภาพเพื่อความสมบูรณ์ของร่างกายและจิตใจไม่ให้เกิดความทุกข์ทรมานต่อการดำรงชีวิตของมนุษย์และสัตว์ ประเภทของยาที่กำหนดไว้ในพระราชบัญญัติยา ฉบับที่ ๕ พุทธศักราช ๒๕๓๐ แบ่งได้ดังนี้
๑. ยาแผนปัจจุบัน หมายถึง ยาที่มุ่งหมายสำหรับใช้ในการประกอบวิชาชีพ เวชกรรมประกอบโรคศิลปะ
แผนปัจจุบัน หรือบำบัดโรคสัตว์
๒. ยาแผนโบราณ หมายถึง ยาที่มุ่งหมายสำหรับใช้ในการประกอบโรคศิลปะ แผนโบราณ การบำบัดโรคสัตว์ที่อยู่ในตำรายาแผนโบราณที่รัฐมนตรีประกาศ หรือยาที่รัฐมนตรีประกาศเป็นยาแผนโบราณ หรือยาที่ได้รับอนุญาตให้ขึ้นทะเบียนตำรายาแผนโบราณ
๓. ยาสามัญประจำบ้าน หมายถึง ยาแผนปัจจุบัน หรือยาแผนโบราณที่รัฐมนตรี
ประกาศเป็นยาสามัญประจำบ้าน เรียกชื่ออีกอย่างหนึ่งว่า “ ยาตำราหลวง” ก็ได้ ยาจำพวกนี้ถือ
ว่าควรจะมีไว้ประจำบ้าน ถ้าเกิดเจ็บป่วยเล็กน้อยจะได้รักษาได้ทันที
๔. ยาอันตราย หมายถึง ยาแผนปัจจุบัน ยาแผนโบราณ ที่รัฐมนตรีประกาศเป็น ยา อันตราย ยาประเภทนี้หากนำมาใช้ไม่ถูกต้อง โดยใช้ขนาดมากกว่าที่กำหนดไว้ ก็เกิดอันตรายต่อ ผู้ใช้ยาได้ ตามกฎหมายยาอันตรายจะต้องจำหน่ายโดยเภสัชกร หรือผู้ที่อยู่ในความควบคุมของ เภสัชกรท่านั้น
๕. ยาควบคุมพิเศษ หมายถึง ยาแผนปัจจุบันหรือยาแผนโบราณที่รัฐมนตรีประกาศเป็นยาควบคุมพิเศษ การจำหน่ายยาประเภทนี้ จะต้องมีใบสั่งแพทย์เท่านั้น ยาควบคุมพิเศษที่รู้จักกันแพร่หลาย เช่น ยานอนหลับ
ยาระงับประสาท ยาที่มีฤทธิ์ต่อจิตและประสาท เพราะยาเหล่านี้อาจทำให้เสพติดได้
๖. ยาบรรจุเสร็จ หมายถึง ยาแผนปัจจุบันที่ได้ผลิตขึ้นเสร็จในรูปต่างๆ ทาง เภสัชกรรม ซึ่งบรรจุในภาชนะหรือหีบห่อที่ปิดหรือผนึกไว้ และมีฉลากครบถ้วนตาม พระราชบัญญัติ
๗. ยาสมุนไพร หมายถึง ยาที่ได้จากพฤกษชาติ สัตว์ หรือแร่ ซึ่งมิได้ผสมปรุงหรือ แปรสภาพ
๘.
. ยาเฉพาะที่ หมายถึง ยาแผนปัจจุบันหรือยาแผนโบราณที่มุ่งหมายใช้เฉพาะที่
กับผิวหนัง หู ตา จมูก ปาก ทวารหนัก ช่องคลอด หรือท่อปัสสาวะ
๙. ยาใช้ภายนอก หมายถึง ยาแผนปัจจุบันหรือยาแผนโบราณที่มุ่งหมายสำหรับใช้ ภายนอก การใช้ยาไม่ถูกต้องอาจก่อให้เกิดอันตรายได้ ดังนี้
๑. การใช้ยาเกินขนาด (
Overdose ) ขนาดของยาที่ใช้ในการรักษาโรคมีความสำคัญอย่างยิ่งในการ
ใช้ยาให้ได้ผล เนื่องจากประสิทธิภาพของยาจะเกิดขึ้นได้ต่อเมื่อมีปริมาณของยานั้นออกฤทธิ์สูง
พอที่จะให้ผลในการรักษา แต่ถ้ามีปริมาณของยาสูงกว่าระดับในการรักษา จะเกิดอันตรายต่อสุขภาพ
และเสียชีวิต
๒. อาการแทรกซ้อนของยา (Side
Effect ) อาการแทรกซ้อนหรืออาการข้างเคียง เป็นปฏิกิริยาที่เกิดขึ้นควบคู่กับผลทางการรักษาของยาโดยทั่วไป อาการแทรกซ้อนที่มักพบอยู่เสมอ
เช่น การกินยาแก้แพ้ ทำให้ง่วงนอน ซึมเซา การใช้ยาประเภทโคเคอีน แก้ไอ อาจทำให้เกิดอาการท้องผูก ยาลดกรดบางชนิดก็อาจทำให้เกิดอาการท้องเดิน เป็นต้น
๓ . การดื้อยา (Drug
Tolerance ) คือ สภาวะที่ร่างกายตอบสนองต่อฤทธิ์ของยาลดลง ทำให้ต้องเพิ่มขนาดยาในการรักษามากขึ้น เป็นสาเหตุให้การใช้ยาชนิดนี้ไม่ได้ผล จำเป็นต้องเปลี่ยนยาใหม่ หรือการใช้ยาไม่ครบขนาดตามที่แพทย์สั่ง หรือรับประทานยาชนิดเดียวกันติดต่อเป็นเวลานาน จนยาขนานนั้นไม่สามารถรักษาโรคให้หายได้ หรือผู้ป่วยใช้ยารักษาอยู่เพียงระยะหนึ่ง แล้วหยุดยา
ทั้งที่โรคยังไม่หายขาด ในกรณีนี้จะทำให้โรคที่ยังไม่ตายดื้อต่อยา โดยการสร้างเอนไซม์ (Enzyme
)
ขึ้นมาเพื่อทำลายยา หรือโดยการปรับตัวเอง แล้วถ่ายทอดคุณสมบัตินี้ไปยังเชื้อที่แบ่งตัวใหม่ ฉะนั้นเมื่อ
โรคกำเริบขึ้นอีก การใช้ยาชนิดเดิมรักษาจึงไม่ได้ผล ต้องเปลี่ยนวิธีการรักษา และใช้ปริมาณยาเพิ่มมากขึ้น อาจก่อให้เกิดอันตรายต่อชีวิตได้ เมื่อจำเป็นต้องรับประทานยาติดต่อกันเป็นเวลานาน ควรปรึกษาแพทย์ก่อน
ใช้ยาทุกครั้ง
๔. การแพ้ยา (Allergy
) คือ การที่ร่างกายมีปฏิกิริยาต่อยา เมื่อร่างกายได้รับยาเข้าไป ๒๔- ๔๘ ชั่วโมง ร่างกายจะสร้างภูมิคุ้มกันขึ้นเพื่อต่อต้านยาชนิดนั้น และเมื่อได้รับยาชนิดเดิมซ้ำอีกจะเกิดปฏิกิริยากับ
ภูมิคุ้มกันที่ร่างกายสร้าง การแพ้ยา
๕. การใช้ยาเกินขนาด เป็นปฏิกิริยาที่เกิดขึ้นเนื่องจากผู้ป่วยมีความทนต่อยาได้น้อยว่าคนปกติ ทั้งๆ
ที่ได้รับยาในขนาดปกติ อาจทำให้เกิดอันตรายได้เนื่องจากมีระดับยาในเลือดมากกว่าปกติ
๖ . การใช้ยาหลายชนิดพร้อมกันการกินยามากกว่าหนึ่งชนิดพร้อมกัน อาจทำให้เกิดผล ๒ ประการ คือ
๖.๑ ผลในทางสัมฤทธิ์กัน
๖.๒ ผลในทางที่ฤทธิ์หักล้างกัน
๗. การใช้ยาในทางที่ผิดมีประชาชนจำนวนมากยังเข้าใจผิดในเรื่องเกี่ยวกับการใช้ยาอยู่มาก
เช่น การนำยาจำพวกฮอร์โมน เช่น เพรดนิโซโลน มาใช้เป็นยาบำรุงให้อ้วน หรือนำยาแอมเฟตามีนมา
เป็นยาใช้ลดความอ้วน หรือยาขยัน เป็นต้น การใช้ยาประเภทนี้ แม้ว่าจะเกิดผลที่ต้องการหรือไม่ก็ตาม แต่อันตรายจากยานั้นรายแรงกว่าผลที่ได้รับมา
๘. การติดยา (Addiction
) เป็นอาการที่เกิดขึ้นจากการใช้ยาติดต่อกันเป็นเวลานานๆ ทำให้เกิดการติดยา
ได้ การติดยาจะทำให้มีผลต่ออารมณ์การรับรู้ และความประพฤติของผู้ใช้ เป็นภัยต่อสังคม
เกิดความเคยชินต่อยา ต้องเพิ่มปริมาณยามากขึ้น อาจทำให้ร่างกายได้รับยาเกินขนาด เกิดเป็นพิษ
หมดสติ เสียชีวิตได้
การใช้ยาให้ถูกวิธี
๑. ใช้ยาให้ถูกขนาน คือ การใช้ยาให้ตรงกับโรคที่เป็นไม่ควรใช้ยาตามคำบอกเล่าของคนรู้จัก
หรือใช้ยาตามคำโฆษณา
๒. ใช้ยาให้ถูกกับคน ยาบางอย่างใช้กับคนทุกเพศทุกวัยได้อย่างปลอดภัย แต่ยาบางอย่างที่ผู้ใหญ่ใช้ได้ แต่อาจเป็นอันตรายต่อเด็กและสตรีมีครรภ์
๓. ใช้ยาให้ถูกเวลา หมายถึง การใช้ยาต่างๆต้องให้ตรงตามกำหนดเวลาตามที่ฉลากระบุไว้ จะทำให้ยามีประสิทธิภาพในการรักษาโรค และเกิดความปลอดภัย
๔. ใช้ยาให้ถูกขนาด หมายถึง การใช้ที่มีขนาดเหมาะสมกับบุคคลนั้น เช่น ผู้ใหญ่และเด็กให้ใช้ยาขนาดต่างกัน ยาบางชนิดใช้ได้ทั้งเด็กและผู้ใหญ่ แต่ขนาดที่ใช้ต้องไม่เท่ากัน การกินยาเกินขนาดจะทำให้ได้รับอันตรายจากพิษของยามากเกินไป ไม่ควรเพิ่มขนาดของยาโดยการ
คาดเดาเอาเอง ซึ่งการลดขนาดของยาจะทำให้การรักษาไม่ได้ผล โรคไม่หาย
๕. การใช้ยาให้ถูกวิธี การใช้ยามีหลายทางหลายวิธี เช่น ยารับประทานก็ควรนำไปรับประทาน
ไม่ใช่นำไปบดโรยแผล ยาเม็ดสำหรับเหน็บฆ่าเชื้อในช่องคลอด ห้ามนำไปใช้เป็นยารับประทาน เป็นต้น การให้ยารับประทานเป็นวิธีที่สะดวก ปลอดภัย ประหยัด และสามารถปฏิบัติได้ด้วยตนเอง
๖. ใช้ยาที่ถูกตามมาตรฐาน หมายถึง การใช้ยาที่มีตัวยาครบถ้วน ทั้งชนิด และปริมาณไม่มากหรือน้อยเกินไป ไม่ใช้ยาที่เสื่อมคุณภาพหรือหมดอายุแล้ว
๗ . การใช้ยาที่มีคุณภาพดีหมายถึงการเลือกใช้ยาที่มีคุณภาพดีแต่ราคาถูกหรือราคาที่
เหมาะสมและควรคำนึงว่ายาที่มีราคาแพงนั้นไม่จำเป็นจะต้องเป็นยาที่มีคุณภาพดีเสมอไป
นอกจากนี้โรคบางชนิดทำให้ผู้ป่วยจำเป็นต้องใช้ยาติดต่อกันนานๆหรืออาจต้องใช้ยาตลอด
ชีวิตดังนั้นจำเป็นที่จะต้องพิจารณาเรื่องราคายาที่ใช้ด้วย
Recent Clients
Recent News
11 JUN 07Headline
Vestibulum vitae enim sed sapien elementum blandit. Vestibulum vel quam. Morbi tincidunt suscipit . . .
» Read More